GOAL
“ดีจังเลยนะคะ เหมือน ‘เธอคนนั้น’ คือแรงบันดาลใจของคุณเลย น่าอิจฉาจัง”
‘เธอ’ บีบมือของผมเบาๆหลังจากทีผมพูดถึง ‘เธอคนนั้น’ ให้ฟัง
ดวงตาของเธอสวย เป็นประกาย ดูน่าหลงใหล แต่ในบางทีผมก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเธอคิดอะไรอยู่ต้องการอะไรอยู่กันแน่เช่นเดียวกับคำพูดของเธอในตอนนี้ ผมไม่มั่นใจว่าความนัยของคำพูดนั้นคืออะไรกันแน่
แต่ถึงอย่างนั้น ประโยคที่เธอกล่าวมามันกลับกระทบส่วนลึกในใจผม ขุดตะกอนที่ตกค้างลึกลงไปให้กลับลอยขึ้นมาอีกครั้ง
“แรงบันดาลใจงั้นเหรอ…” ผมหลุบตาลง ขยับยิ้มออกมา ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนอยู่ในตอนนี้ แต่มันคงไม่ใช่สีหน้าที่ดูดีเท่าไหร่แน่นอน
แรงบันดาลใจ..
บางทีถึงแม้จะอยากยึดสิ่งนั้นเป็นแรงบันดาลใจแค่ไหนแต่มันก็เป็นไปไม่ได้นี่นะ..
ภาพของ ‘เธอคนนั้น’ มันไม่เคยหายไปไหน มันอยู่ในส่วนลึกเป็นส่วนนึงของความทรงจำ และในตอนนี้มันก็ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ชัดมากขึ้น
(กดฟังเพลงนี้ แต่เปิดเบาๆนะ)
ผมคิดว่าตัวเองมีเป้าหมายในชีวิตมาตลอดตั้งแต่เด็ก
เป้าหมายนั้นมันอาจจะไม่ชัดเจนบ้างในบางครั้ง เพราะภาระหน้าที่ บุคคลรอบข้างที่กดดัน รวมถึงคำกล่าวที่ว่า ‘นายไม่มีทางประสบความสำเร็จในด้านนี้หรอก’ มันทำให้ในบางครั้งผมก็ไม่กล้ายอมรับในเป้าหมายของตัวเองด้วยเพราะกลัวจะทำให้คนอื่นผิดหวัง แต่ผมก็รู้ตัวมาตลอดว่าลึกๆแล้วสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดคือ ‘การถ่ายรูป’
จากตอนแรกที่สนใจแค่เรื่องการถ่ายรูปเป้าหมายของผมมันก็ขยายใหญ่มากขึ้น ผมอยากจะออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทั่วโลก พบเจอในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยพบ เรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเรียนรู้ เก็บภาพความประทับใจต่างๆไว้
เป้าหมายใหม่ของผมคือ ”การเดินทาง”
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มเก็บเงินตั้งแต่มหาลัย จนหลังจากที่เริ่มทำงานได้ 3 ปี ได้เงินทุนพอสมควร ผมก็ตัดสินใจออกเดินทาง
ผมเริ่มต้นตั้งแต่ตอนใต้ของรัสเซีย ผ่านมองโกเลียลงมาจีน เวียดนาม ลาว พม่า ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มจนในที่สุดผมก็มาถึงประเทศไทย หนึ่งปีที่ผ่านมาจะนับว่าเร็วก็เร็ว จะนับว่าช้าก็ช้า ผมพบเจอเรื่องไม่ดีก็เยอะ ไหนจะโดนขโมยของ ไม่มีของกิน ไม่มีที่นอน ท้องเสียในตอนที่ต้องนั่งยืนบนรถติดต่อกัน 6 ชั่วโมงก็เคยมาแล้ว แต่ผมก็มักจะปลอบตัวเองเสมอว่ามันก็มีเรื่องดีๆหลายอย่างเกิดขึ้น ผมได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้ออกเดินทางด้วยกันในบางที ได้ถ่ายรูปเก็บภาพสวยๆ เห็นในหลายๆสิ่งอย่างที่ผมวาดฝัน
แต่จู่ๆมันก็มาถึงจุดนึงที่ผมเริ่มรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป
ในตอนที่ผมอยู่ที่ประเทศไทย ตอนที่ผมหยุดยืนอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่งที่คนเขาพูดกันว่าเป็นหนึงในสถาปัตยกรรมที่สวยที่สุดในโลก ถามว่าสวยมั้ย มันก็สวย แต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกอยากแม้แต่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้
มันเป็นวันที่ผมรับรู้ว่าผมสูญเสียเป้าหมายของตัวเองไปแล้ว
ยิ่งเดินทางไปไกลเท่าไหร่ผมก็ยิ่งเดินทางต่อ เดินทางไปเรื่อยๆ จนผมไม่รู้ว่าผมควรหยุดที่ไหนกันแน่ ผมไม่รู้ว่าสรุปตัวเองต้องการอะไร แค่เดินทางไปเรื่อยๆงั้นหรอ? มันดูเป็นอะไรลมๆแล้งๆไม่ต่างจากที่เคยโดนปรามาสไว้เลย
การไม่มีเป้าหมายหรือไร้แรงบันดาลใจดูน่าเศร้าแล้ว แต่การที่ค้นพบว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่มีสิ่งนั้นเลยทั้งๆที่คิดว่ามีมาตลอดมันน่าเศร้ายิ่งกว่าอีก
นับจากวันนั้นผมเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง
จนกระทั่งวันนึงผมแวะมาที่ร้านอาหารเล็กๆข้างทางเพื่อหาอาหารกลางวัน ในร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษเลยและพนักงานในร้านก็ไม่มีใครสื่อสารกับผมได้เช่นกัน ผมอยากจะตะโกนบอกพนักงานที่ทำหน้าบูดใส่ผมเหลือเกินว่าผมเองก็ไม่ได้อยากจะสร้างความลำบากในการสั่งอาหารนักหรอก แต่ผมพูดภาษาพวกคุณไม่ได้นี่นา
ตอนนั้นเองก็มีมือๆนึงวางที่บนไหล่ผม
“ถ้าเป็นหมูคุณพอจะกินได้มั้ย?”
นี่คือตอนที่ผมได้พบกับ ‘เธอคนนั้น’
‘เธอคนนั้น’ ถามผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมในตอนนั้นที่ยังงงงวยอยู่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าไป เธอคนนั้นหันไปคุยกับพนักงานด้วยภาษาที่ผมฟังไม่ออก ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ผม
“ฉันสั่งเป็นหมูทอดกับกระเทียม คุณเป็นคนเอเชียคุณน่าจะกินกระเทียมได้เนอะ? ฉันสั่งไข่ดาวให้คุณไปด้วยเพราะคุณเป็นผู้ชายน่าจะกินเยอะ”
“แล้วคุณมาแบคแพคคนเดียวหรอ? ยังไงก็มานั่งกับฉันมั้ย? ฉันก็มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกันน่ะ”
รู้ตัวอีกทีผมก็มานั่งที่โต๊ะเดียวกับเธอคนนั้นแล้ว….
‘เซลีน’ คือชื่อของเธอ หญิงสาวผมบลอนด์สั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางดูกระฉับกระเฉง เธอเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นทำให้เธอตื่นเต้นมากตอนทีได้เจอผมที่มีเชื้อชาติเดียวกัน (ตื่นเต้นแค่เพราะเชื้อชาติ เพราะเธอไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่ เรายังสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษตลอด) เซลีนเองก็มาแบคแพคเหมือนกัน แต่เธอมาอาศัยอยู่กับเพื่อนคนไทยของเธอที่เจอกันตอนไปท่องเที่ยวแอฟริกา
เซลีนอายุมากกว่าผม เธอเป็นคนชอบท่องเที่ยวแถมยังเคยไปท่องเที่ยวมาแล้วหลายที่เราสองคนคุยกันถูกคอมากๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าเธอเข้าใจผมผมเลยตัดสินใจเล่าความกังวลใจของตัวเองในตอนนี้ให้เธอฟัง
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวเธอก็ส่งยิ้มตอบกลับมาให้ผม เธอบอกว่าเธอเข้าใจดีเพราะเธอก็เคยเป็นเหมือนกัน มันเป็นเรื่องปกติของคนที่เที่ยวเยอะๆที่จู่ๆก็จะรู้สึกอิ่มตัวกับการเดินทาง มองไปทางไหนก็รู้สึกเบื่อ ไม่สวย ไม่ตื่นตาตื่นใจ ผมได้ยินแบบนั้นก็เลยถามเซลีนว่าแล้วเธอแก้ไขปัญหานี้ยังไง
เซลีนยิ้มแล้วตอบผม
“อย่าเรียกมันว่าปัญหาเลย คุณก็แค่ต้องการเวลาคิดทบทวนตัวเอง ลองหยุดอยู่ที่เดิมสักพักนึงสิ เผื่อภาพอะไรหลายๆอย่างมันจะชัดขึ้น”
เป็นคำพูดที่ฟังดูเข้าใจยาก แต่ก็น่าแปลกที่ผมเข้าใจมัน
ผมยิ้มรับคำพูดนั้น แล้วนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของวันเวลาที่ใช้ร่วมกับเธอ
หลังจากนั้นผมก็กินข้าวหมูกระเทียมไข่ดาวแทบทุกวัน
ไม่ใช่อะไรหรอก.. มันก็แค่เพราะว่าผมพูดเมนูอื่นไม่เป็นแล้ว แล้วมันก็เป็นทิฏฐิของผมเองด้วยที่อยากจะพูดภาษาไทยตอนสั่งอาหาร แล้วผมก็พูดเป็นแค่อย่างเดียวบวกกับผมไม่อยากถามคำแปลของเมนูอื่นๆด้วย
เซลีนขำเป็นบ้าเป็นหลังตอนที่รู้เหตุผลที่ผมสั่งแต่หมูกระเทียม แต่ผมก็ไม่แคร์หรอก (อีโก้สูง)
หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับเซลีนเธอก็พาผมไปพบ ‘ปาย’ เพื่อนคนไทยของเธอที่เปิดร้านอาหารอีกร้านอยู่ในจังหวัดไม่ไกลจากจุดที่ผมพบกับเซลีนนัก เซลีนได้บอกปายเรื่องผม ปายเสนอให้ผมมาอาศัยอยู่ด้วยชั่วคราวแลกกับการที่ผมจะคอยช่วยงานต่างๆและจ่ายค่าอยู่อาศัยพื้นฐาน
ฟังดูตลกดี ที่จู่ๆก็มาอาศัยกับคนที่เพิ่งเจอกัน แต่มันก็เหมือนกับที่มีคำกล่าวไว้ว่ายังไงการเดินทางก็มักจะพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาหาพวกเราอยู่แล้วและสิ่งเหล่านั้นก็มักจะนำพาไปสู่เรื่องดีๆเสมอ ซึ่งผมก็เชื่อแบบนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพวกเราจะอยู่แต่ในบ้าน พวกเราออกเดินทางไปเที่ยวตามที่ต่างๆเหมือนกันทั้งทะเล ทั้งภูเขา ในเมือง บางทีก็เป็นผม เซลีน ปาย บางทีก็มีเพื่อนคนอื่นของปายด้วย แต่หลักๆก็จะเป็นผมกับเซลีนที่เดินทางด้วยกัน
จริงๆประเทศนี้เป็นประเทศที่ผมแพลนจะอยู่นานตั้งแต่ตอนคิดจะออกเดินทางตอนแรกแล้ว ผมเห็นว่ามีหลายๆที่ที่ผมควรจะไปซึ่งมันไม่สามารถไปได้หมดในระยะเวลาแค่สั้นๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเซลีนทำให้การเดินทางของผมสนุกมากขึ้น
เซลีนเป็นคนตลก คุยเก่ง เธอมักจะชอบเล่าเรื่องราวต่างๆที่เธอเคยเจอมาให้ผมฟังทำให้ผมขำเป็นบ้าเป็นหลัง เรามีความชอบและความคิดหลายๆอย่างใกล้เคียงกันทำให้เรามักจะมานั่งพูดคุยเรื่องภาพที่พวกเราวาดฝันไว้ในอนาคตอยู่บ่อยๆ ผมบอกเธอไปว่าผมอยากจะเป็นช่างภาพสายธรรมชาติที่ได้ทำงานกับนิตยสารระดับโลก ส่วนเซลีนก็บอกผมว่าเธออยากจะเป็นนักเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางของเธอให้คนอื่นได้รับรู้
เซลีนมักจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมเสมอทั้งที่ตัวเธอตั้งใจทำและไม่ได้ตั้งใจ พอรู้ตัวอีกทีผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้แล้ว ผมชอบมองเวลาเธอยิ้ม ชอบมองเวลาเธอยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผม มองปลายนิ้วที่ค่อยๆกดลงไปบนชัตเตอร์
บางทีสิ่งที่ไม่คาดฝันที่ดีที่สุดในทริปนี้สำหรับผมอาจจะคือเธอก็ได้
วันที่ผมกับเซลีนเปิดใจกันมันไม่ได้โรแมนติกอะไรมากมาย มันเป็นวันที่ผมขึ้นไปตั้งแคมป์กับเธอและเพื่อนของปายบนภูเขา เรานั่งดื่มเบียร์กัน มองดูท้องฟ้าไปเพลินๆ
“เดินทางกับคุณสนุกดีนะ” ผมบอกเซลีนไปแบบนี้
“แน่ล่ะ เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว”
“ผมว่าผมอยากเดินทางกับคุณอีก”
“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพวกเราก็จะไปน้ำตกกันไม่ใช่หรอ”
“ไม่ใช่” ผมส่ายหน้า “ผมหมายถึงหลังทริปในประเทศไทยนี้จบไปต่างหาก”
เซลีนไม่ได้ตอบอะไรหลังจากนั้น เธอยิ้ม แล้วใบหน้าพวกเราก็เลื่อนเข้าหากัน
ไม่ได้มีคำพูดบอกรักหรือคำพูดผูกมัดอะไร แต่ผมรู้สึกว่าเธอเข้าใจผม และผมก็เข้าใจเธอ
ผมคิดว่าผมเจอแรงบันดาลใจของผมแล้ว …
ปล.หลังจากนั้นผมก็ไปถามปายขอคำแนะนำเกี่ยวกับเมนูอื่นๆที่น่ากิน แน่นอนล่ะ กินกระเทียมก่อนที่จะไปจูบกับคนที่คุณชอบมันไม่ดีหรอกจริงมั้ย?
ความสัมพันธ์ของผมกับเซลีนจบลงหลักจากที่แปดเดือนในประเทศไทยของผมผ่านไป
มันไม่ได้เป็นอะไรที่ซับซ้อน พวกเราอยู่ที่นี่กันมานานถึงเวลาที่จะต้องเดินต่อสักที
เซลีนจะกลับฝรั่งเศส ส่วนผมจะเดินทางไปยังประเทศทางใต้ต่อ ในตอนนั้นผมตัดสินใจกับตัวเองว่าอยากจะทำอะไรให้ชัดเจนขึ้นเสียที ผมบอกเซลีนว่าหลังจากที่ผมกลับญี่ปุ่นผมจะเก็บเงินแล้วเดินทางไปฝรั่งเศส ระหว่างนั้นช่วยรอผมหน่อยได้มั้ย
ปฏิกิริยาเซลีนต่างจากที่ผมคาดไว้ สีหน้าของเธอดูอึ้งไป ถึงเธอจะขยับยิ้มตามออกมาแต่มันก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ทำให้ผมสบายใจเลย
“ขอโทษนะ.. ฉันกะจะบอกคุณหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส ฉันมีคู่หมั้นอยู่ที่ฝรั่งเศสแล้วน่ะ ฉันขอเขามาท่องเที่ยวแบบที่ฉันชอบก่อนที่เราจะแต่งงานกันหลังจากที่ฉันกลับไป”
ผมยืนนิ่ง ไม่ได้มีคำพูดอะไรออกมาจากปาก เซลีนยังคงมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะจริงจังกับความสัมพันธ์ของพวกเราน่ะ? ยังไงนักเดินทางอย่างพวกเรา ความสัมพันธ์พวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่เอาไว้แก้เหงาเฉยๆไม่ใช่เหรอ?”
ตอนนั้นผมอยากจะร้องไห้ อยากจะตะโกนบอกเธอว่าก็เพราะคำแนะนำของเธอไม่ใช่รึไงที่ให้ผมหยุดอยู่กับที่สักพักนึงเพื่อหาคำตอบของตัวเอง และแรงบันดาลใจที่ผมค้นพบก็คือเธอ ผมชอบเธอเพราะผมเข้าใจว่าความคิดพวกเราเหมือนกัน เรามีความฝันที่จะเดินทางและได้อยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าผมเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้นหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรเหล่านี้ออกไป ผมได้แต่ยิ้มและกล่าวอวยพรกับเธอ
นั่นคือการจากลาของผมกับเซลีน
และจากการอยู่มา 8 เดือนกับเธอทำให้ผมรับรู้ความจริงเพิ่มขึ้น 3 อย่าง
หนึ่ง อะไรหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าผมเข้าใจดี แต่สุดท้ายถ้าผมไม่เคยยืนยันความถูกต้อง มันก็อาจจะกลายเป็นว่าสิ่งนั้นผมไม่เคยเข้าใจถูกเลย เหมือนกับการที่ผมเข้าใจไปเองตลอดว่าผมเข้าใจความรู้สึกเซลีนดีแล้ว
สอง ยังไงซะ คนอย่างผมที่มักจะเดินทางอยู่ตลอดก็ไม่เหมาะกับความสัมพันธ์ที่ผูกมัดกับใครทั้งนั้น
สาม ถึงแม้เราจะอยากได้อะไรสักอย่างมาเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยึดถือสิ่งนั้นไว้ได้ตลอด …
หลังจากนั้นผมก็ยังเดินทางต่ออีกสี่เดือน ลงใต้จนไปสุดที่อินโดนีเซีย แม้ความรู้สึกว่างเปล่าในใจผมยังคงมีอยู่แต่ผมก็ยังอยากเดินทางต่อ มันกลายเป็นชีวิตผมไปแล้ว ผมยังเชื่อว่าผมอาจจะหาเป้าหมายและแรงบันดาลใจของตัวเองจากการเดินทางได้
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกลับญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งก็เพราะกลับมาเก็บเงินเพื่อตั้งตัวใหม่สำหรับการเดินทางที่ไกลกว่าเดิมในอนาคต แต่อีกส่วนนึงก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยากจะลองหยุดอยู่กับที่สักพักนึงล่ะก็เป็นได้
หลังจากกลับมาญี่ปุ่นผมก็ได้กลับมาเช็คโซเชียลอีกครั้ง สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอผมคือภาพงานแต่งงานของเซลีนกับคู่หมั้นของเธอที่เธอเคยบอกผม
ผมมองภาพนั้นอยู่สักพักใหญ่ๆ มือค้างอยู่ที่คีย์บอร์ดมือถือนานพอสมควร แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจพิมพ์แสดงความยินดีกับเธอไป ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นคำขอบคุณ พร้อมข้อความว่าเธอคิดถึงผมมาก
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวหลังจากที่ผมจากเธอมาที่ผมได้ติดต่อกับเซลีน
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่าการจากลาของผมกับเธอเป็นสิ่งที่แย่ ผมยังกดไลค์รูปภาพของเธอบ้าง เธอเองก็เข้ามากดไลค์รูปถ่ายของผมบ้างเช่นกัน ผมไม่ได้เกลียดเธอ ยังไงซะช่วงเวลาที่ผมอยู่กับเธอก็เป็นช่วงที่ผมมีความสุขจริงๆ และเซลีนก็มีความสุขเช่นกัน
มันก็แค่ผมเข้าใจผิดไปเองบ้างเท่านั้น
ผมไม่เคยลืมเซลีน แต่ผมก็ไม่ได้ยึดติดกับเธอ ผมไม่เคยนึกเกลียดตัวตนของตัวเองในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมต้องลบคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ออกไปจากความทรงจำ
ยังไงซะ พอมองย้อนกลับไปผมก็ไม่เคยนึกเสียใจกับวันที่ผ่านมาเลย
(กดหยุดเพลง)
“คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกผิดหวังกับ ‘เธอคนนั้น’ คะ?”
เธอถามผม ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องมา
ตอนนี้ผมกับ ‘เธอ’ กำลังเล่นเกมกันอยู่ พวกเราจะผลัดกันถามคำถามและผลัดกันตอบ ผมจะถามถึง ‘เขาคนนั้น’ ของเธอ ส่วนเธอเองก็จะถามถึง ‘เธอคนนั้น’ ของผมเช่นกัน
พอได้ยินคำถามนั้นผมก็เหลือบตาไปอีกทางเพื่อใช้ความคิด
“ผิดหวังหรอ.. ไม่รู้สิ” ผมแค่นยิ้มออกมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ “คงเป็นตอนที่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วความฝันของเธอมันไม่เหมือนกันเลย และเธอเองก็ไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผมได้ล่ะมั้ง…”
“อย่างงั้นหรอคะ? มันสวนทางกันเลยรึเปล่านะ?”
“มันไม่ใช่เพราะความฝันมันสวนทางกันหรอก มันก็แค่เพราะว่าเธอคนนั้นมีคนที่รอและตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกันอยู่แล้วน่ะ”
ดวงตาที่เป็นประกายของเธอไหววูบทันที ทั้งๆที่ในหลายๆทีผมเดาความรู้สึกในดวงตาของเธอไม่ออกแท้ๆ แต่ครั้งนี้มันชัดเจนมากว่าเธอรู้สึกเสียใจแทนผม
รู้สึกแย่เหมือนกัน ที่มองออกแต่อะไรแบบนี้..
“ฉันกอดคุณได้มั้ยคะ?” เธอถามขึ้นมา มันเป็นคำถามที่ไม่ควรจะต้องถามเลยเพราะยังไงผมก็ไม่ปฏิเสธมันอยู่แล้ว ผมหัวเราะหน่อยๆ เอียงตัวเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมอ้าแขนให้ เธอเองก็ขยับเข้ามาหาผมแล้วสวมกอดพร้อมลูบหลังเบาๆ รู้สึกแปลกๆเหมือนกันที่โดนคนอายุน้อยกว่าลูบหลังแบบนี้
“ดูแปลกๆดีจังที่ฉันมาลูบหลังคนอายุมากกว่าแบบนี้” เธอพูดขึ้นมาราวกับรู้ใจผม ซึ่งผมก็หัวเราะเบาๆไปเป็นคำตอบ
ก่อนหน้านี้ผมก็ยังไม่มั่นใจว่าเป้าหมายของผมคืออะไร ผมยังมีความคิดที่จะเดินทางต่อ จนได้เจอกับ ‘เธอ’ ผมก็เริ่มคิดต่างไปจากเดิม
ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้เธอเป็นเป้าหมายของผมได้
ไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจ แต่คือเป้าหมายสำหรับทิศทางของชีวิต
ถ้าเป็นได้ก็คงดี..
ผมสวมกอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม ในตอนนั้นจู่ๆก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในใจ
นอกจากผมจะหาเป้าหมายให้ตัวเองได้แล้ว ถ้าผมเองสามารถเป็นเป้าหมายให้ใครสักคนได้ก็คงดีเหมือนกัน
-FIN-
-เป็น Side Story ของมาซาโตะค่ะ เรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางก่อนที่จะมาเข้าทำงานที่ฮาบาทากิของมาซาโตะ และก็เกี่ยวกับคนที่มาซาโตะเคยชอบ
-เอาจริงๆตอนแรกคาร์มาซาโตะเป็นคาร์ที่ในตอนแรกเราคิดว่าคงไม่มีซับซ้อนอะไรและเป้าหมายก็ชัดเจน แต่พอมานั่งนึกทบทวนดูดีๆแล้วมันกลับไม่ใช่เลย มันมีหลายๆอย่างที่กลวงและดูว่างเปล่าเป็นตัวละครที่ทำให้ปวดเฮ้ดได้บ่อยกว่าที่คิดมากค่ะ /กุมขมับ
-มาซาโตะเป็นตัวละครที่มีความติสมากๆในหมู่คาร์เรา บางทีเขียนไปเราก็งงๆความคิดเขาเหมือนกันค่ะ(..) กว่าจะเรียบเรียงได้นี่ลากเลือด55555
-จริงๆอยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของมาซาโตะมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสสักที บังเอิญว่าสตอรี่ตรงนี้ถูกปลดได้ก็เลยถือโอกาสมาเขียนค่ะ!
-ส่วนตัวเราว่าชีวิตของมาซาโตะโดยรวมเหมาะกับเพลง The Nights ของ Avicii มากๆ แต่พอเป็นพาร์ทที่เกี่ยวกับ ‘เธอคนนั้น’ หรือก็คือ ‘เซลีน’ เรากลับรู้สึกว่ามันเหมาะกับเพลง ‘The Days’ ตอนเราเขียนสตอรี่อันนี้เราฟังเพลงนี้ตลอดเลยค่ะ เลยเอามาแปะให้ลองฟังกันด้วย (แต่ที่ให้เปิดเบาๆเพราะบีทมันหนักทำให้เสียสมาธิได้พอสมควรเลยอะ–)
-ส่วน ‘เธอ’ ในสตอรี่อันนี้เป็นตัวละครลับค่ะ(?) แต่คิดว่าถ้ามีโอกาส/เวลาก็อยากจะเขียนถึงเธอโดยเฉพาะบ้างเหมือนกัน
-ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ! หวังว่าจะอ่านแล้วเข้าใจบ้าง แต่ถ้างงเราก็เข้าใจค่ะ เราเขียนเองก็งงเองเหมือนกัน(อ้าว)